ข้ามไปเนื้อหา

จอห์นนี เดปป์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(ต่าง) ←รุ่นเก่ากว่านี้ | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นที่ใหม่กว่า → (ต่าง)
จอห์นนี เดปป์
เกิดจอห์น คริสโตเฟอร์ เดปป์ ที่ 2
(1963-06-09) 9 มิถุนายน ค.ศ. 1963 (61 ปี)
โอเวนสโบโร รัฐเคนทักกี สหรัฐ
อาชีพ
  • นักแสดง
  • นักดนตรี
  • ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์
ปีปฏิบัติงาน1984–ปัจจุบัน
คู่สมรส
คู่รักเชริลิน เฟนน์
(1985–1988)
วิโนนา ไรเดอร์
(1989–1993)
เคต มอส
(1994–1998)
วาเนสซา พาราดีส์
(1998–2012)
บุตร2 คน รวมถึงลิลี-โรส
รางวัลรายการทั้งหมด
อาชีพทางดนตรี
แนวเพลง
เครื่องดนตรี
  • กีต้าร์
  • เสียงร้อง
ค่ายเพลง
สมาชิกของ
อดีตสมาชิก
ลายมือชื่อ

จอห์น คริสโตเฟอร์ เดปป์ ที่ 2 (อังกฤษ: John Christopher Depp II; เกิด 9 มิถุนายน ค.ศ. 1963) เป็นนักแสดงและนักดนตรีชาวอเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลลูกโลกทองคำหนึ่งรางวัล และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สามครั้ง และรางวัลแบฟตาอีกสองครั้ง ผลงานการแสดงของเขา มักแสดงเป็นตัวละครที่มีความผิดปกติอยู่บ่อยครั้ง โดยทำรายได้มากกว่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในดาราที่มีรายได้มากที่สุดในฮอลลีวูด[1][2][3][4]

เดปป์เป็นที่รู้จักในบทแจ็ก สแปร์โรว์ในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน, แมด แฮทเทอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง อลิซในแดนมหัศจรรย์ และวิลลี่ วองก้า ในภาพยนตร์เรื่อง Charlie and the Chocolate Factory นอกจากนั้น เขายังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง และนิตยสารพีเพิลยังคัดเลือกให้เขาเป็น "ผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่" ประจำปี 2003 และ 2009 อีกด้วย

ประวัติ

[แก้]

จอห์นนี เดปป์ เกิดวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1963 เมืองโอเวนสโบโร รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา เขา เป็นลูกชายคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 4 คนของ จอห์น คริสโตเฟอร์ เดปป์ ซีเนียร์ ซึ่งเป็นวิศวกรโยธา และ เบตตี้ ซู ปาล์มเมอร์ (นามสกุลเดิม เวลส์) ซึ่งมีอาชีพเป็นบริกรหญิง เดปป์มีเชื้อสายเยอรมัน อินเดียนแดง เชอโรกี ไอริช ไอริชเหนือ สกอตติช เวลช์ ฝรั่งเศส ดัตช์ เบลเยียม เยอรมัน แอฟริกา และเขายังมีเชื้อสายของ เอลิซาเบธ คีย์ กรินสเตด ซึ่งเป็นชาวแอฟริกาคนแรกที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตัวเองและถูกปลดจากการเป็นทาสของคนขาวได้ นอกจากนั้น ถ้าหากนับตระกูลของเดปป์ขึ้นไปอีก 19 รุ่นจะพบว่าเขาสืบทอดเชื้อสายมาจาก มาร์กาเร็ต เพอร์ซี และ เซอร์วิลเลียม แกสคอยน์ที่ 1 ซึ่งเพอร์ซีเป็นลูกสาวของเฮนรี เพอร์ซีย์ เอิร์ลแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ที่ 3 และสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ นั่นหมายถึงว่าเขามีทวดคนเดียวกันกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร

ส่วนพี่ชายและพี่สาวคนโตของเดปป์เป็นพี่น้องต่างพ่อ คือ

  • แดเนียล พี. เดปป์ (แดนนี่) ปัจจุบันใช้นามปากกาว่า DP และเป็นนักเขียนบทละคร
  • เดโบราห์ เจ. เดปป์ (เดบบี้) ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ Lexington และเป็นคุณครูในโรงเรียนประถม

และพี่สาวที่มีพ่อแม่เดียวกันคือ

  • เอลิซ่า คริสตี้ เดปป์ - เด็มโบรวสกี้ (คริสตี้) ปัจจุบันเธอทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้จัดการส่วนตัวของจอห์นนี่ เดปป์และเป็นประธานบริษัท Infinitum Nihil ของเขาด้วย

เดปป์มีความพิการติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่นคือดวงตาข้างซ้ายของเขาเบลอจนมองอะไรไม่เห็นตั้งแต่เกิด แทบจะเรียกได้ว่าบอดสนิท แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของเขา ในวัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่หลงใหลในการไล่จับแมลง วิ่งเล่นในไร่ยาสูบและชอบฟังนิทานจาก Paw Paw ซึ่งเป็นปู่ของเขา จนกระทั่งปู่ของเขาเสียชีวิตในตอนที่เขาอายุได้เพียง 7 ขวบ หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปที่เมืองมิรามาร์ รัฐฟลอริดา และเดปป์ก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียน มิรามาร์ไฮสคูล (Miramar High School) ครอบครัวเขาก็ต้องอาศัยอยู่ในโมเทลจนกระทั่งพ่อของเขาหางานที่มั่นคงได้นั่นคือเป็นหัวหน้าวิศวกรประจำเมือง แต่ครอบครัวเขาก็ยังคงต้องย้ายบ้านอยู่บ่อย ๆ โดยที่เขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุ

การย้ายบ้านบ่อย ๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เดปป์เริ่มเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมแปลก ๆ เพราะความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต เขาใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างโลดโผน เขามีเรื่องชกต่อยกับเด็กคนอื่น ๆ อยู่บ่อยครั้ง รวมถึงวีรกรรมที่ร่วมกันกับเพื่อนขุดอุโมงค์จากห้องนอนตัวเองมาเชื่อมกับสวนในบ้าน หรือแม้กระทั่งการอมน้ำมันไว้และพ่นไฟจนลุกไหม้บนหน้าตัวเองแต่โชคดีที่เพื่อน ๆ ของเขาช่วยกันดับไว้ทัน

แต่กิจกรรมโปรดของเดปป์นอกจากเล่นผาดโผนก็คือการช่วยแม่ที่เป็นบริกรคิดเงินที่เคาธ์เตอร์ถึงแม้จะยังเป็นเด็กตัวเล็กและต้องนั่งตักแม่อยู่ตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาที่มีซีรีส์เรื่องโปรดฉายทางโทรทัศน์เขาก็จะรีบวิ่งกลับบ้านไปดูในทันที

ชีวิตของเดปป์ในวัยเด็กเป็นชีวิตที่ไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญให้จดจำนัก จนกระทั่งพ่อและแม่ของเขาหย่าร้างกันในตอนที่เขาอายุ 15 ปี หลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่ของเขาก็แต่งงานใหม่กับ โรเบิร์ต ปาล์มเมอร์

เริ่มเป็นนักดนตรี

[แก้]

เนื่องจากที่ลุงของเขาเป็นบาทหลวง ทำให้เดปป์มีโอกาสเข้าโบสถ์อยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความศรัทธาในพระเจ้ามากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือวงดนตรีที่เล่นในโบสถ์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจในดนตรี จนกระทั่งในตอนที่เขาอายุ 12 ปี เขาได้รับของขวัญเป็นกีต้าร์มือสองที่ซื้อต่อจากญาติของเขาในราคา 25 เหรียญดอลลาร์ เขาเริ่มตั้งวงของตัวเอง วงดนตรีวงแรกของจอห์นนี่ชื่อว่า เฟลม ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการเล่นดนตรี รับจ้างเล่นดนตรีตามผับถึงแม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าผับได้ และยังทดลองเสพยาเสพติดแทบทุกชนิด จนไม่สนใจการเรียน

จนกระทั่งอายุ 15 ปี เดปป์ตัดสินใจที่จะกลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้ง แต่พ่อแม่ของเขาก็หย่าร้างกัน ทำให้แม่ของเขาเป็นโรคซึมเศร้า ประกอบกับที่ครูที่โรงเรียนแนะนำให้เขากลับไปใช้ชีวิตตามความฝันที่อยากเป็นนักดนตรี เขาจึงลาออกจากโรงเรียนและตัดสินใจตั้งวงดนตรีวงใหม่โดยใช้ชื่อว่าวง The Kids ประกอบกับการทำงานในปั๊มน้ำมันไปด้วย

The Kids ได้เล่นเป็นวงเปิดให้นักดนตรีชื่อดังหลายคนที่มาทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ที่ Miramar จนทำให้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในเมืองนั้น จอห์นนี่และเพื่อนนักดนตรีของเขาจึงตัดสินใจเดินทางไป แคลิฟอร์เนีย และเมื่อไปถึงที่นั่นเขาก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Six Gun Method แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเขา ทำให้จอห์นนี่ต้องหารายได้เสริมโดยการรับทำงานพิเศษไม่ว่าจะเป็นกรรมกร, พนักงานถ่ายเอกสาร, นักมวยสมัครเล่น และช่างซ่อมรถ

ชีวิตในวงการบันเทิง

[แก้]

ในตอนที่เดปป์เป็นมือกีต้าร์ให้กับวง The Kids เขาได้คบหาดูใจกับ Lori Anne Allison พี่สะใภ้ของ Bruce Witkin มือเบสและนักร้องนำของวง จนกระทั่งวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1983 ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน จอห์นนี่ เดปป์ได้เปลี่ยนอาชีพหลักจากการเป็นนักดนตรีมาเป็นเซลล์แมนขายปากกาทางโทรศัพท์ ซึ่งเขาบอกว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ถือเป็น การแสดง สำหรับเขา เพราะเขาต้องเปลี่ยนเสียงไปเรื่อย ๆ ในการโทรศัพท์หาลูกค้าแต่ละคน

หลังจากที่ใช้ชีวิตร่วมกันได้เพียง 2 ปี ทั้งคู่ก็หย่าร้างกันใน ค.ศ. 1985 แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ ลอรี่เชื่อว่าเดปป์มีพรสวรรค์ เธอจึงได้แนะนำเขาให้รู้จักกับนิโคลัส เคจ ผู้ที่กำลังมีผลงานการแสดงในเรื่อง Rumble Fish และเป็นผู้ที่ผลักดันให้จอห์นนี่ เดปป์เข้าสู่วงการบันเทิง

ค.ศ. 1984 - 1994

[แก้]

นิโคลัส เคจ ได้พาเดปป์ไปทำความรู้จักกับ Tracey Jacobs ซึ่งเป็นเอเย่นส์ที่เขารู้จัก เมื่อเทรซี่เห็นจอห์นนีเป็นครั้งแรก เธอก็เกิดความเอ็นดูเขาทันที ประจวบเหมาะกับที่ผู้กำกับอย่าง Wes Craven กำลังจะถ่ายทำหนังเรื่องใหม่โดยที่กำลังแคสติ้งนักแสดงนำ เทรซี่จึงได้ชักชวนจอห์นนี่ให้ลองไปแคสบทนำ ทั้ง ๆ ที่บุคลิกของเขาในตอนนั้นไม่ได้ตรงกับตัวละครเลย แต่โชคเข้าข้างเขาเมื่อลูกสาวของ Wes Craven และเพื่อน ๆ ของเธอ ต่างถูกใจในตัวเขา ทำให้เขาได้รับบทนำในหนังสยองขวัญปี 1984 เรื่อง A Nightmare on Elm Street และถือเป็นหนังเรื่องแรกของเดปป์

จากนั้นเดปป์ก็ได้รับบทเล็ก ๆ ในหนังหลายเรื่อง จนกระทั่งเขาถูกอ้อนวอนให้รับบท Officer Tom Hanson นายตำรวจหนุ่มนอกเครื่องแบบที่ปลอมตัวเป็นนักเรียนไฮสคูลในซีรีส์เรื่อง 21 Jump Street (ออกอากาศในปี 1987 - 1991) ซึ่งทำให้เขาโด่งดังและเป็นขวัญใจวัยรุ่นในอเมริกาเพียงชั่วข้ามคืน

จอห์นนี่ตัดสินใจสลัดคราบขวัญใจวัยรุ่น โดยการเลือกรับบทนำในเรื่อง Cry-Baby (ค.ศ. 1990) และในปีเดียวกันนั้นเขาก็ได้ร่วมงานกับ ทิม เบอร์ตัน ในเรื่อง Edward Scissorhands ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้ชื่อเสียงของจอห์นนี เดปป์เริ่มโด่งดังมากขึ้นในต่างประเทศ หลังจากนั้นเขาก็รับบทในหนังเล็ก ๆ อีกหลายเรื่องซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่หนังทำเงิน แต่ก็ได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ออกมาในแง่บวกเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Arizona Dream (ค.ศ. 1992) , Benny & Joon และ What's Eating Gilbert Grape (ค.ศ. 1993) ก่อนจะกลับมาร่วมงานกับ ทิม เบอร์ตัน อีกครั้งในเรื่อง Ed Wood (film) ในปี 1994 รวมถึงรับบทนำในเรื่อง Don Juan DeMarco อีกด้วย

ค.ศ. 1995 - 2004

[แก้]

ใน ค.ศ. 1995 เดปป์ได้ร่วมงานกับ จิม จาร์มุช ผู้กำกับหนังอินดี้ ในหนังขาวดำเรื่อง Dead Man และได้รับบทนำในหนังอาชญากรรมระทึกขวัญเรื่อง Nick of Time ที่มีรายได้และคำวิจารณ์ออกมาไม่ดีนัก จอห์นนี่ไม่มีผลงานออกมาใน ค.ศ. 1996 ต่อมาในปี 1997 เขาก็ได้รับบทนำในเรื่อง Donnie Brasco ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงของ FBI ที่ปลอมตัวไปอยู่ในแก๊งค์มาเฟียนานถึง 6 ปี ผลงานอีกเรื่องในปี 1997 ของเดปป์คือเรื่อง The Brave ผลงานที่เขาร่วมเขียนบทกับพี่ชาย และกำกับภาพยนตร์ด้วยตัวเอง The Brave เป็นหนึ่งในหนังที่ถูกคัดเลือกให้ฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปีนั้น แต่กลับได้รับกระแสตอบรับไม่ดีจากนักวิจารณ์ในอเมริกา ทำให้เขาตัดสินใจไม่นำหนังเรื่องนี้เข้าฉายในอเมริกา

ใน ค.ศ. 1998 เดปป์ได้รับบทบาทที่น่าสนใจอีกเรื่อง นั่นคือเรื่อง Fear and Loathing in Las Vegas (film) จากนิยายในชื่อเรื่องเดียวกันของนักเขียนชื่อดังอย่าง Hunter S. Thompson ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนที่จอห์นนี่โปรดปรานมากที่สุด และในปี 1999 จอห์นนีก็รับบทนำในภาพยนตร์ถึง 3 เรื่องซึ่งเป็นหนังแนวสยองขวัญทั้งหมด คือ The Ninth Gate , The Astronaunt's Wife และการกลับมาร่วมงานกับทิม เบอร์ตัน อีกครั้งใน Sleepy Hollow

ใน ค.ศ. 2000 มีภาพยนตร์ที่เขาแสดงออกฉาย 3 เรื่อง แต่แต่ละเรื่องก็เป็นแค่บทเล็ก ๆ เท่านั้น คือบทยิปซีใน The Man Who Cried , บทสาวประเภทสองใน Before Night Falls และนักแสดงสมทบใน Chocolat ซึ่งเป็นหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนั้นด้วย นอกจากนั้นเขายังเป็นนักแสดงรับเชิญในซีรีส์เรื่อง The Fast Show ในตอนที่มีชื่อว่า The Last Ever Fast Show ก่อนที่จะรับบทนำในหนังปี 2001 อีกสองเรื่อง Blow ซึ่งเป็นเรื่องจริงของพ่อค้ายาเสพติดข้ามชาติ และอีกเรื่องคือ From Hell ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรชื่อดังอย่าง Jack the Ripper

เดปป์ ในบท แจ็ค สแปร์โรว์

เดปป์ไม่มีผลงานออกมาใน ค.ศ. 2002 แต่ในปี 2003 กลับกลายเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตนักแสดงของเขาเมื่อจอห์นนี่ เดปป์ตัดสินใจรับบทกัปตันแจ็ก สแปร์โรว ในเรื่อง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl ซึ่งกลายเป็นบทบาทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา และทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เป็นครั้งแรก รวมถึงยังเป็นหนังคนแสดงเรื่องแรกของค่ายดิสนีย์ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีกด้วย นอกจากเรื่อง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl แล้ว จอห์นนี่ เดปป์ก็มีผลงานแอ็กชั่นอีกเรื่องในปี 2003 นั่นคือ Once Upon A Time in Mexico

ใน ค.ศ. 2004 เดปป์มีผลงานสยองขวัญเรื่อง Secret Window และได้ให้เสียงตัวละครในการ์ตูนซีรีส์ที่ฉายทางโทรทัศน์เรื่อง King of the Hill ก่อนจะเป็นนักแสดงรับเชิญในหนังฝรั่งเศสเรื่อง Ils se marièrent et eurent beaucoup d'enfants รวมถึงรับบทนำในเรื่อง Finding Neverland และ The Libertine และบทบาทใน Finding Neverland ก็ทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 2 อีกด้วย

ค.ศ. 2005 - ปัจจุบัน

[แก้]

ใน ค.ศ. 2005 เดปป์กลับมาร่วมงานกับทิม เบอร์ตันอีกครั้ง ในภาพยนตร์เรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ซึ่งถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในอาชีพการแสดง นอกจากนั้น เขาก็ยังได้ให้เสียงพากย์ในแอนิเมชั่นเรื่อง Corpse Bride ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่กำกับโดยทิม เบอร์ตันเช่นเดียวกัน

ใน ค.ศ. 2006 และ 2007 เดปป์กลับมารับบทกัปตันแจ็ก สแปร์โรว อีกครั้งในภาพยนตร์ภาคต่อของ Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl โดยภาค 2 ที่ออกฉายในปี 2006 ใช้ชื่อว่า Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของจอห์นนี่ที่ทำรายได้ถึงพันล้านเหรียญทั่วโลกและภาคที่ออกฉายในปี 2007 ใช้ชื่อภาคว่า Pirates of the Caribbean: At World's End และในปี 2007 เขาก็กลับไปร่วมงานกับทิม เบอร์ตันเป็นครั้งที่ 6 ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์เพลงหรือตลกได้เป็นครั้งแรก

เดปป์เว้นวรรคการแสดงไปหนึ่งปี ต่อมาในปี 2009 เขาได้ให้เสียงพากย์ในแอนิเมชั่นชื่อดังที่ฉายทางโทรทัศน์อย่าง SpongeBob SquarePants ในตอนพิเศษที่ใช้ชื่อตอนว่า SpongeBob SquarePants vs. The Big One ก่อนที่จะเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์เรื่อง The Imaginarium of Doctor Parnassus แทนที่ฮีธ เลดเจอร์ที่เสียชีวิตในขณะที่ภาพยนตร์ยังถ่ายทำไม่เสร็จ และในปีเดียวกันนั้นจอห์นนีก็ได้รับบทนำในภาพยนตร์แนวอาชญากรรมที่สร้างจากเรื่องจริงอย่าง Public Enemies อีกด้วย

ใน ค.ศ. 2010 เดปป์รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Alice in Wonderland ซึ่งถือเป็นการร่วมงานกับทิม เบอร์ตันเป็นครั้งที่ 7 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้อย่างสูงและทำรายได้กว่าพันล้านเหรียญทั่วโลก ในปีเดียวกันนั้นจอห์นนีก็ได้แสดงในหนังแอ็กชั่นเรื่อง The Tourist ซึ่งทำให้ในปีนั้นเขาได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เพลงหรือตลกจาก 2 บทบาทคือบท Mad Hatter จาก Alice in Wonderland และบท Frank Tupelo จาก The Tourist

เดปป์ได้ให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ออกฉาย ค.ศ. 2011 เรื่อง Rango ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ได้รางวัลออสการ์ในสาขาแอนิเมชั่นยอดเยี่ยม และเขายังกลับมารับบทกัปตันแจ็ก สแปร์โร่ว อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามของจอห์นนี เดปป์ที่ทำรายได้มากกว่าพันล้านเหรียญทั่วโลก และทำให้ในตอนนี้เขายังคงเป็นนักแสดงเพียงคนแรกและคนเดียวที่มีภาพยนตร์ที่แสดงนำทำรายได้ถึงพันล้านเหรียญมากที่สุดในโลก และจอห์นนีก็มีภาพยนตร์อีกเรื่องของเขาที่ออกฉายในปี 2011 ถึงแม้จะถ่ายทำมาตั้งแต่ปี 2009 ก็คือ The Rum Diary ซึ่งเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่สร้างมาจากนิยายของHunter S. Thompson นอกจากนั้นเขายังเป็นนักแสดงรับเชิญในซีรีส์เรื่อง Life's Too Short อีกด้วย

ใน ค.ศ. 2012 เดปป์ได้กลับไปรับบทเป็น Tom Hanson ในภาพยนตร์เรื่อง 21 Jump Street ซึ่งดัดแปลงมาจากซีรีส์ที่เขาเคยแสดงนำไว้เมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่จะกลับไปร่วมงานกับทิม เบอร์ตันเป็นครั้งที่ 8 ในภาพยนตร์เรื่อง Dark Shadows และเขาได้ให้เสียงพากย์เป็นตัวละครชื่อ Edward Scissorhands ในแอนิเมชั่นทางโทรทัศน์เรื่อง Family Guy ซึ่งมีคาแร็กเตอร์ตรงกับตัวละครที่เขาเคยแสดงเอาไว้ในภาพยนตร์ปี 1990

ใน ค.ศ. 2013 มีภาพยนตร์ของเดปป์ออกฉายเพียงสองเรื่องคือ The Lone Ranger ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งทางรายได้และคำวิจารณ์ และเรื่อง Lucky Them หนังอินดี้ซึ่งเขาเป็นนักแสดงรับเชิญโดยที่ไม่คิดค่าตัวในการแสดง

ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดใน ค.ศ. 2014 ของเดปป์คือภาพยนตร์แนวปรัชญา-ไซไฟเรื่อง Transcendence ที่ถือเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของเขาที่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของรายได้และคำวิจารณ์ ส่วนผลงานอื่น ๆ ที่มีคิวเข้าฉายในปี 2014 ก็คือเรื่อง Tusk และ London Fields ที่เขาเป็นนักแสดงรับเชิญ และภาพยนตร์เพลงแนวแฟนตาซีผจญภัยฟอร์มยักษ์จากดิสนีย์ซึ่งเขารับบทเป็นหมาป่าในตอนของหนูน้อยหมวกแดงอย่างเรื่อง Into the Woods

ภาพยนตร์ที่เข้าฉายใน ค.ศ. 2015 ของเดปป์คือเรื่อง Mortdecai และภาพยนตร์อีกเรื่องที่จะเข้าฉายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 คือภาพยนตร์อาชญากรรมที่สร้างจากเรื่องจริงของ Whitey Bulger เรื่อง Black Mass

ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายใน ค.ศ. 2016 คือ Through the Looking Glass ซึ่งเป็นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง Alice in Wonderland ในปี 2010

และภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในปี 2017 คือเรื่อง Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales ซึ่งกำลังถ่ายทำที่ออสเตรเลีย จอห์นนีได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่านี่อาจจะเป็นการรับบทบาทเป็นกัปตันแจ็ก สแปร์โร่วเป็นครั้งสุดท้ายของเขา

ส่วนผลงานอื่น ๆ ของเขานอกจากในด้านภาพยนตร์และดนตรีแล้ว จอห์นนี่ก็ได้เซ็นสัญญาเป็น Brand Ambassador คนใหม่ให้กับ Parfums Christian Dior ที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 อีกด้วย

ดนตรี

[แก้]

เมื่อจอห์นนี่ เดปป์อายุ 12 แม่ของเขาได้ซื้อกีต้าร์มือสองมาให้เขาในราคา 25 เหรียญ จอห์นนี่ได้ขโมยหนังสือคอร์ดกีต้าร์มาจากร้านและเรียนรู้การเล่นดนตรีด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ได้ร่วมเล่นในวงดนตรีในฟลอริด้าอีกหลายวง ได้แก่ วง Flame, Zaphyre, Bitch, Bad Boys ในตอนนั้นความใฝ่ฝันของเขาคือการได้เป็นมือกีต้าร์ในวงดนตรีชื่อดังของฟลอริด้าอย่างวง The Kids และในปลายทศวรรษ 1980's ความใฝ่ฝันของเขาก็เป็นจริง

The Kids ค่อนข้างประสบความสำเร็จในฟลอริด้า พวกเขาได้เล่นเป็นวงเปิดให้วงดนตรีดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็น The Pretenders, The B-52s, Talking Heads and Iggy Pop, Chuck Berry ในเดือนธันวาคมปี 1983 The Kids ได้เดินทางเข้าสู่ลอสแอนเจลิสด้วยความหวังที่ว่าโชคจะเข้าข้างพวกเขาและจะทำให้พวกเขาโด่งดังมากขึ้น และได้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Six Gun Method แต่ในลอสแอนเจลิสนั้นมีการแข่งขันสูงกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้มากทำให้สมาชิกในวงเริ่มขาดรายได้ จนกระทั่งจอห์นนี่ได้ถูกนิโคลัส เคจชักชวนให้เข้าวงการบันเทิงเพื่อหารายได้เสริม

ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจอห์นนี เดปป์จะได้แสดงในหนังและซีรีส์ทางทีวีหลายเรื่อง แต่เขาก็ยังคงมองว่านักดนตรีคืออาชีพหลักของเขาและยังคงใฝ่ฝันจะเป็นร็อคสตาร์อยู่ จนกระทั่งปี 1986 หลังจากที่กลับมาจากประเทศฟิลิปปินส์จากการเดินทางไปถ่ายทำเรื่อง Platoon เขาก็ได้เป็นมือกีต้าร์ริทึ่มของวง Rock City Angels ซึ่งเป็นวงที่มีสมาชิกหลายคนมาจากฟลอริด้าร์เช่นเดียวกัน แต่เขาก็อยู่ในวงนี้ได้เพียงแค่ 8 เดือน ก่อนที่จะถูกบังคับให้ลาออกจากวงเพราะต้องรับบทนำในซีรีส์เรื่อง 21 Jump Street ในตอนแรกจอห์นนีได้ปฏิเสธบทนี้ไป แต่หลังจากถูกทีมงานโทรศัพท์มาเพื่อชักชวนหลาย ๆ ครั้ง เขาก็ต้องยินยอมรับบทนี้ในที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกัน วง Rock City Angels ที่เขาเพิ่งลาออกก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่

หลังจากนั้นหลายปี ในขณะที่จอห์นนีกำลังถ่ายทำเรื่อง What’s Eating Gilbert Grape อยู่ใกล้ ๆ เมืองออสติน รัฐเท็กซัส เขาและเพื่อนในวัยเด็กของเขาอย่าง Sal Jenco ก็ได้ทำความรู้จักกับGibby Haynes นักร้องนำของวง Butthole Surfers และได้ทำความรู้จักกับศิลปินชาวเท็กซัสอย่าง Bill Carter ในตอนแรกพวกเขาได้ร่วมเล่นดนตรีด้วยกันเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้ฟอร์มวงร่วมกัน และตั้งชื่อว่าวง P และในปีนั้น เมื่องานเทศกาลดนตรีประจำออสตินอย่างงาน South By Southwest มาถึง ผู้จัดงานก็ได้เชิญวง Butthole Surfers มาร่วมแสดงด้วย แต่กิ๊บบี้ขอร้องให้ผู้จัดเชิญวงดนตรีวงใหม่ของเขามาแสดงแทน และนั่นคือการแสดงสดและการเปิดตัวครั้งแรกของ P ซึ่งตรงกับวันที่ 17 มีนาคม 1993 หลังจากนั้นวงของพวกเขาก็ได้แสดงอยู่ในผับThe Viper Room ที่จอห์นนีเป็นเจ้าของ และในไปแสดงในเวียนนาสองครั้งในปี 1997 อัลบั้มแรกของพวกเขาวางแผงในเดือนพฤศจิกายนปี 1995 ซึ่งมีซิงเกิลแรกคือเพลง Michael Stipe ในปี 2000 จอห์นนี่ยังคงพูดถึงความเป็นไปได้ที่สมาชิกในวงจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน จอห์นนีก็กลับไปเล่นดนตรีกับวง The Kids อยู่บ่อยครั้ง รวมถึงยังเคยร่วมแสดงกับวงนี้ในคอนเสิร์ตการกุศลที่ใช้ชื่อว่า Sheila Witkin Memorial Reunion Concerts ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 28 มกราคม 2007 และวันที่ 29 - 30 สิงหาคม 2008 ในฟลอริด้าร์อีกด้วย

หลายปีที่ผ่านมา จอห์นนีได้ร่วมงานในอัลบั้มที่มีการจำหน่ายอย่างเป็นทางการให้กับศิลปินหลายคนไม่ว่าจะเป็น Shane MacGowan, Oasis, Iggy Pop, Vanessa Paradis, Glenn Tilbrook, Babybird, Marilyn Manson, Patti Smith และ Aerosmith

จอห์นนีได้เล่นดนตรีให้กับเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เขาแสดงอย่าง Chocolat, Once Upon a Time in Mexico และ The Rum Diary และเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้ม Rogue’s Gallery: Pirate Ballads, Sea Songs and Chanteys และอัลบั้มเพลงประกอบสารคดีเรื่อง Gonzo อีกด้วย นอกจากนั้นจอห์นนี่ยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับ Shane MacGowan ในปี 2010 เขารับตำแหน่งกีต้าร์โซโล่ในเพลง I Put a Spell on You ซึ่งเป็นซิงเกิลที่วางขายเพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติ และทั้งคู่ยังได้ร่วมงานกันอีกครั้งในปี 2013 ในเพลง Leaving of Liverpool จากอัลบั้ม the Son of Rogue's Gallery

ในปี 2007 จอห์นนีได้รับบทนำในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากละครเวทีเรื่อง Sweeney Todd: The Demon Barber Of Fleet Street ซึ่งในเรื่องนี้เขาต้องร้องเพลงในภาพยนตร์ด้วยตัวเองถึงแม้เขาจะไม่เคยร้องเพลงอย่างจริงจังหรือเข้าคอร์สเรียนร้องเพลงเลยก็ตาม

จอห์นนีมีบริษัทหนังของตัวเองโดยเขาได้เริ่มก่อตั้งในปี 2004 และตั้งชื่อว่า Infinitum Nihil และในปี 2011 ทางบริษัทของเขาก็ได้ขยายเป็นบริษัทที่ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมเพลงด้วย และในปี 2013 Infinitum Nihil ก็ได้ร่วมงานกับบริษัทอื่นผลิตอัลบั้มออกมาวางขายชื่อว่า Tonto's Giant Nuts โดยมีเครดิตบริษัทของเขาในเพลง Little Lion Man และในแทร็กที่มีชื่อว่า Damien Echols Death Row Letter Year 16 1/2

จอห์นนี่ยังได้ร้องเพลง Hello, Little Girl ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Into the Woods ซึ่งเขารับบทเป็นหมาป่า

นอกจากนี้ จอห์นนี่ยังได้ฟอร์มวงใหม่โดยใช้ชื่อว่า Hollywood Vampires กับ Alice Cooper และ Joe Perry โดย Alice Cooper นอกจากนี้ยังได้ Paul McCartney, Zak Starkey, และ Brian Johnson มาร่วมแจมอีกด้วย โดย Hollywood Vampires จะทำการแสดงสดครั้งแรกที่เทศกาล Rock in Rio

ชีวิตส่วนตัว

[แก้]

ครอบครัวและชีวิตรัก

[แก้]

การแต่งงานครั้งแรกของจอห์นนี เดปป์เกิดขึ้นในวันที่ 24 ธันวาคม 1983 กับ Lori Anne Allison ซึ่งเป็นช่างแต่งหน้าและเป็นคนที่แนะนำจอห์นนีให้รู้จักกับนิโคลัส เคจผู้ชักนำจอห์นนีเข้าสู่วงการบันเทิง จอห์นนีและลอรี่หย่าร้างกันไปในปี 1986 ต่อมาในปีเดียวกันนั้น จอห์นนีได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับSherilyn Fenn ซึ่งเป็นนักแสดงและได้ร่วมงานกับเขาในซีรีส์เรื่อง 21 Jump Street ด้วย ทั้งคู่เลิกลากันไปในปี 1988 จากนั้นจอห์นนีก็คบกับ Jennifer Grey และเคยมีข่าวลือว่าทั้งคู่หมั้นกันแต่ทั้งสองก็เลิกลากันไปในเวลาสั้น ๆ

หนึ่งในความสัมพันธ์ที่โด่งดังมากที่สุดของจอห์นนี เดปป์นั่นคือช่วงที่เขาคบกับวิโนนา ไรเดอร์ ในปี 1990 จอห์นนีได้เจอวิโนน่าครั้งแรกในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Great Balls of Fire ในปี 1989 และประทับใจเธอตั้งแต่แรกเห็น จนต่อมาทั้งคู่ได้นั่งทานดินเนอร์ที่โต๊ะเดียวกันในงานปาร์ตี้ซึ่งมีเจ้าภาพเป็นพ่อทูนหัวของวิโนน่า และทั้งคู่ก็ได้คบหาดูใจกันจนกระทั่งจอห์นนีได้ขอหมั้นเธอและถึงกับสักต้นแขนของเขาด้วยคำว่า Winona Forever แต่ทั้งคู่ก็ยุติความสัมพันธ์ลงในปี 1993 หลังจากนั้นจอห์นนีก็ลบรอยสักให้เหลือเพียงคำว่า Wino Forever การเลิกลากันครั้งนี้ทำให้จอห์นนีเสียใจอย่างมาก เขาดื่มหนักและไม่ยอมพักผ่อนจนเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ จากเหตุการณ์นั้นทำให้เขาฉุดตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และได้มาเจอกับเคต มอส ซุปเปอร์โมเดลชื่อดังในปี 1994 จนกระทั่งในปี 1998 ทั้งคู่ก็เลิกลากันโดยที่จอห์นนีได้ให้เหตุผลว่าความต้องการของทั้งคู่ไม่ตรงกัน และบอกว่าเขายังดีไม่พอสำหรับเธอ เพราะฉะนั้นแล้วการเลิกลากันก็คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ทั้งคู่จะทำได้

หลังจากเลิกลากับเคต มอสไปในปี 1998 จอห์นนีก็เดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Ninth Gate ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่นั่นเขาได้เจอกับVanessa Paradis นักร้องนักแสดงสาวชาวฝรั่งเศส ทั้งคู่มีบุตรธิดาร่วมกัน 2 คนคือ

  • ลิลี่-โรส เมโลดี้ เดปป์ เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 1999
  • แจ็ก จอห์น คริสโตเฟอร์ เดปป์ ที่ 3 เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2002

จอห์นนีและวาเนสซ่าไม่ได้แต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสกัน โดยที่เขาให้เหตุผลว่าชื่อของวาเนสซ่า ปาราดีส์นั้นเพราะดีอยู่แล้ว ถ้าหากจะต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่าวาเนสซ่า เดปป์คงจะดูไม่ดีซักเท่าไหร่แต่ถ้าหากว่าวาเนสซ่าอยากจะแต่งงานเขาก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายขอเช่นเดียวกัน ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเวลา 14 ปี ในปลายปี 2011 มีข่าวลือว่าทั้งคู่เลิกลากันแต่พวกเขาก็ปฏิเสธมาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ 18 มิถุนายน 2012 โฆษกส่วนตัวของจอห์นนี เดปป์ก็ได้ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ E! Online อย่างเป็นทางการว่าทั้งคู่ได้เลิกลากันด้วยความเข้าใจและยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ในช่วงนั้นได้มีข่าวลือออกมาอีกว่าจอห์นนี เดปป์กำลังเริ่มต้นความสัมพันธ์กับAmber Heard นางเอกสาวที่เคยร่วมงานกับเขาในภาพยนตร์เรื่อง The Rum Diary ในปี 2009 และมีภาพทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันหลายต่อหลายครั้งแต่ทั้งสองก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ จนกระทั่งวันที่ 11 มกราคม 2014 จอห์นนีและแอมเบอร์เปิดตัวว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันอย่างเป็นทางการในงาน The Art of Elysium's 7th Annual Heaven Gala

จอห์นนี เดปป์ได้ขอหมั้นแอมเบอร์ เฮิร์ดได้คืนคริสมาสต์อีฟ ปี 2013 แต่เขายืนยันด้วยตัวเองในเดือนเมษายน 2014 ในช่วงที่โปรโมต Transcendence ภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำ และเขายังให้สัมภาษณ์ด้วยว่าแอมเบอร์เข้ากับลูก ๆ ของเขาได้ดีและคือคนที่ทำให้เขาอยากจะแต่งงานอีกครั้ง ถึงแม้ทั้งคู่จะอายุห่างกันถึง 23 ปี หลังจากหมั้นกันมากว่า 1 ปี จอห์นนี่และแอมเบอร์ก็ได้แต่งงานกันอย่างลับ ๆ ในบ้านของทั้งสองที่ลอสแอนเจลิสในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2015 และได้จัดพิธีวิวาห์เล็ก ๆ ที่มีเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทของทั้งคู่ที่ถูกเชิญมาร่วมงานบนเกาะ Little Hall's Pond Cay เกาะส่วนตัวของจอห์นนี่ในบาฮามาสในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2015 โดยมี แจ็ก ลูกชายของจอห์นนี่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว และ วิทนีย์ น้องสาวของแอมเบอร์เป็นเพื่อนเจ้าสาว

การเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของโคมันชี

[แก้]

จอห์นนี เดปป์ได้เข้าพิธีเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของชาวอินเดียนแดงเผ่าโคมันชี่ และถือว่าเป็นลูกบุญธรรมของ LaDonna Harris หัวหน้าเผ่าโคมันชีในวันที่ 22 พฤษภาคม 2012 โดยเขาถูกเชิญชวนจาก LaDonna หลังจากที่เธอรู้ว่าเขาจะรับบท Tonto ชาวอินเดียนแดงในภาพยนตร์ปี 2013 เรื่อง The Lone Ranger พิธีนี้จัดขึ้นในบ้านของ LaDonna และ Johnny Wauqua ประธานของชนเผ่าโคมันชีก็ได้รับเชิญไปร่วมงานด้วย นอกจากนั้นเขายังได้รับเชิญไปงาน Comanche Nation Fair ในปี 2012 ซึ่งเป็นงานเทศกาลเฉลิมฉลองประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวอินเดียนแดงและในปี 2013 เขาก็ได้จัดให้มีการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง The Lone Ranger ใน Oklahoma เป็นแห่งแรก และเป็นวันเดียวกันกับเทศกาล Comanche Nation Fair ในปีนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติชาวอินเดียนแดงที่ถูกนำไปอ้างอิงในภาพยนตร์ย รวมถึงในงานเปิดตัวรอบ world premiere ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางผู้จัดก็ได้บริจาครายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้างานส่วนหนึ่งให้กับมูลนิธิของชาวอินเดียนแดงอีกด้วย

เพื่อนสนิท

[แก้]

จอห์นนี เดปป์มีเพื่อนสนิทในวงการอยู่หลายคน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักแสดงในยุคเก่า ด้วยความที่เขาชื่นชอบภาพยนตร์ยุคเก่าเป็นทุนเดิม ทำให้เขาเข้ากับนักแสดงในยุคนั้นได้ดี ไม่ว่าจะเป็น มาร์ลอน แบรนโด, อัล ปาชิโน หรือ เฟย์ ดันนาเวย์ โดยเฉพาะมาร์ลอน แบรนโด จอห์นนีได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขานับถือมาร์ลอนเป็นทั้งพ่อ ครูและเพื่อนในคนคนเดียวกัน แต่หากจะพูดถึงเพื่อนสนิทของจอห์นนีในวงการภาพยนตร์นั้น ก็คงจะขาด ทิม เบอร์ตัน และ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ ไปไม่ได้ เนื่องจากทั้งสามคนได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์หลายเรื่องทำให้เกิดความสนิทสนมกันจนกระทั่งทิม เบอร์ตันและเฮเลน่าได้ยกให้จอห์นนี เดปป์เป็นพ่อทูนหัวของลูกชายคนแรกของพวกเขา

จอห์นนียังมีเพื่อนสนิทในวงการเพลงอยู่หลายคน เช่น มาริลีน แมนสัน, อลิซ คูเปอร์, คีธ ริชาร์ดส์, พอล แม็กคาร์ตนีย์ และสมาชิกในวง แอโรสมิธ เป็นต้น นอกจากในวงการภาพยนตร์และเพลงแล้ว เพื่อนสนิทอีกคนของเขาก็คือ Hunter S. Thompson ซึ่งเป็นนักเขียนชื่อดังที่มีภูมิลำเนาอยู่ในรัฐเคนทักกี้เช่นเดียวกันกับเขาด้วย

คดีความ

[แก้]

ปี 1994 จอห์นนี เดปป์ถูกจับในข้อหาทำลายข้าวของในโรงแรม Mark ในนิวยอร์ก โดยในตอนนั้น Roger Daltrey นักร้องนำวง Who คือคนที่เข้าพักอยู่ในห้องข้าง ๆ ห้องพักของจอห์นนี โรเจอร์ได้โทรเรียกตำรวจเพราะได้ยินเสียงดังมาจากในห้องพักของจอห์นนี และเมื่อตำรวจมาถึงก็พบว่าข้าวของบางส่วนในห้องพักถูกทำลาย เขาถูกปรับเป็นเงินราว ๆ 1200 เหรียญและจำคุกเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกไป

ปี 1999 จอห์นนี เดปป์ถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายปาปารัซซี่ หลังจากที่เขาทานข้าวกับวาเนสซ่า ปาราดีส์ซึ่งเป็นคนรักของเขาในขณะนั้น ทั้งคู่ก็ได้ออกมาจากร้านอาหาร โดยที่ในตอนนั้นปาราดีส์กำลังตั้งท้องได้หลายเดือน จอห์นนีจึงกลัวเธอได้รับอันตรายและได้ขอร้องให้ปาปารัซซีอยู่ให้ห่างจากปาราดีส์ แต่มีปาปารัซซีคนหนึ่งได้เดินตามปาราดีส์ไปถึงรถและพยายามฉุดเธอออกมา จอห์นนีจึงได้คว้าท่อนไม้ใกล้ตัวและฟาดไปที่แขนของปาปารัซซี่คนนั้นทำให้เขาถูกจับในที่สุด

ปี 2012 เขาถูกฟ้องจาก Robin Eckert ในข้อหาโดนการ์ดของจอห์นนีทำร้ายร่างกายในคอนเสิร์ตที่ลอสแอนเจลิสโดยที่เขายืนดูอยู่เฉย ๆ และไม่ได้เข้าไปห้ามการ์ดของตัวเอง จากการสืบพยานทำให้ทราบว่าโรบินมีพฤติกรรมคล้ายคนเสียสติและดูเหมือนจงใจก่อความวุ่นวายให้กับจอห์นนี จนกระทั่งการ์ดของผู้จัดงานคอนเสิร์ตได้เข้ามาดึงตัวเธอออกไป คดีนี้ยืดเยื้อมาจนกระทั่งเดือนตุลาคม ปี 2012 ศาลจึงตัดสินให้โรบินสามารถเรียกค่าเสียหายจากจอห์นนีได้เพื่อแสดงความยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย และปิดคดีลงในวันที่ 12 สิงหาคม 2013

ปี 2014 จอห์นนีโดนหมายศาลในคดีแปลก ๆ เพราะทนายความอยากให้เขาช่วยไปเป็นพยานว่าลูกความของเขามีความผิดปกติทางจิต เนื่องจาก Nancy Lekon ลูกความของทนายความคนนั้น กำลังขับรถลีมูซีนของตัวเองอยู่ที่ย่านดาวน์ทาวน์ใน LA ในปี 2009 จู่ ๆ เธอก็ขับขึ้นไปบนทางเท้าทั้ง ๆ ที่มีคนเดินอยู่ ก่อนที่ร่างของเหยื่อจะถูกลากติดกับรถไปหลายไมล์และเสียชีวิตในที่สุด Lekon ถูกตั้งข้อหาในคดีฆาตกรรม และคดีของเธอจะถูกตัดสินในเมษายน 2014 ในตอนที่โดนตำรวจจับ เธอได้อ้างตัวว่าเธอคือแฟนสาวของจอห์นนี เดปป์และกำลังจะไปหาเขาเพราะได้นัดกันไว้ ตำรวจและทนายจึงได้ขอให้จอห์นนีช่วยเป็นพยานว่าเธอเสียสติ แต่ในที่สุดทุก ๆ ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในคดีนี้ก็ได้ลงความเห็นว่าเธอมีความผิดปกติทางจิต ทำให้เขาไม่ต้องเป็นพยานในคดีนี้ในที่สุด

ศาสนา

[แก้]

จอห์นนีประกาศตัวว่าเขาไม่มีศาสนาถึงแม้ครอบครัวของเขาจะเป็นคาทอลิคก็ตาม โดยเขาให้เหตุผลว่าเขาไม่มีศาสนาแต่สนใจในทุกศาสนา เขาเชื่อว่าขนบธรรมเนียมทั้งเก่าและใหม่นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และเราควรจะนำข้อดีของทั้งสองอย่างมาปรับใช้ในชีวิตมากกว่าที่จะยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือต้องเข่นฆ่ากันเพราะเห็นต่างในด้านศาสนา เขาเชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลหรืออไญยนิยม

ในวันที่ 16 ตุลาคม 2011 รายการLarry King Liveได้ไปสัมภาษณ์เขาที่ออฟฟิศและถามถึงเรื่องความเชื่อหรือสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจของเขา จอห์นนีได้ให้คำตอบว่า เขาเชื่อมั่นในลูก ๆ ของเขา และเชื่อมั่นในเรื่องของความมุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งต่าง ๆ ถึงแม้จะมีอุปสรรค แต่เขาไม่มีความเชื่อในด้านศาสนา

รอยสัก

[แก้]

ปัจจุบันจอห์นนี เดปป์มีรอยสักทั้งหมด 32 รอย โดยรอยสักที่สำคัญ ๆ คือรอยสักคำว่า Lily-Rose ซึ่งเป็นชื่อลูกสาวของเขาบนหน้าอกซ้าย รอยสักคำว่า Jack และรูปนกกระจอกบนข้อมือขวาซึ่งคล้ายคลึงกับรอยสักของกัปตันแจ็ก สแปร์โร่วแต่เขาสักให้ลูกชายของเขาซึ่งมีชื่อเดียวกันกับตัวละครตัวนี้ รอยสักหัวใจสามดวงที่ต้นแขนซ้าย ซึ่งเขาหมายถึงวาเนสซ่าและลูก ๆ และถึงแม้ในตอนนี้เขาจะเลิกลากับวาเนสซ่าไปแล้วแต่จอห์นนีก็ยังไม่ได้ลบรอยสักนี้ออก รอยสักคำว่า Betty Sue บนรูปหัวใจซึ่งเป็นชื่อแม่ของเขาบนต้นแขนขวา และรอยสักรูปแม่ของเขาในตอนที่เป็นบริกรหญิงอยู่ที่แขนซ้าย และรอยสักรูปตาของเขาในชุดชาวประมงอยู่ที่แขนขวา นอกจากนี้จอห์นนี เดปป์ยังมีรอยสัก matching tattoo กับมาริลีน แมนสันที่หลังอีกด้วย

ธุรกิจ

[แก้]

The Viper Room

[แก้]

ในปี 1993 จอห์นนี เดปป์เคยเปิดไนท์คลับในชื่อ The Viper Room บน Sunset Strip เพื่อเป็นแหล่งสังสรรค์ของบรรดาเพื่อนฝูงของเขาไม่ว่าจะเป็น Jennifer Aniston, Lisa Marie Presley, Jared Leto, Christina Applegate, Angelina Jolie, Rosario Dawson, Tobey Maguire และ Leonardo DiCaprio ก็เคยมาสังสรรค์กันที่นี่ ในวันแรกที่จอห์นนีเปิดคลับ เขาได้บริจาครายได้ทั้งหมดให้กับมูลนิธิ Starlight Foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลือเด็กที่ป่วยในระยะสุดท้าย และโดยส่วนใหญ่แล้ว จอห์นนีมักจะเชิญนักดนตรียุคเก่ามาแสดงในคลับของเขาด้วย

ในคืนวันฮาโลวีนปี 1993 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น เมื่อริเวอร์ ฟินิกซ์ นักแสดงดาวรุ่งได้มาสังสรรค์ที่คลับและเสียชีวิตอยู่บริเวณหน้าคลับด้วยวัยเพียง 23 ปี จอห์นนีได้ทำการปิดคลับเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับการเสียชีวิตของเขาเป็นเวลาสองสัปดาห์ต่อจากนั้น และตั้งแต่นั้นมา The Viper Room จะปิดในทุก ๆ วันที่ครบรอบการจากไปของริเวอร์ จอห์นนี เดปป์เป็นเจ้าของคลับนี้อยู่หลายปี จนกระทั่งในปี 2001 หุ้นส่วนของเขาที่ชื่อว่า Anthony Fox ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และในที่สุดจอห์นนี่ก็ตัดสินใจปล่อยทิ้งคลับให้ร้างไปในปี 2004 และได้ขายหุ้นที่เหลือให้กับ Amanda ลูกสาวของฟ็อกซ์ ก่อนที่คลับจะถูกซื้อโดย Darin Feinstein ในเวลาต่อมา

Man Ray

[แก้]

แมน เรย์คือร้านอาหารที่ตกแต่งและขายอาหารแนวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นโรงภาพยนตร์ และครั้งหนึ่งจอห์นนีก็เคยเป็นหุ้นส่วนในร้านนี้ร่วมกับ Sean Penn, John Malkovich และ Mick Hucknall Man Ray ตั้งอยู่บนถนน 34 Rue Marbeuf ใกล้ ๆ กับช็องเซลีเซ

Infinitum Nihil

[แก้]

ปี 2004 จอห์นนีได้ก่อตั้งบริษัท Infinitum Nihil ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ จอห์นนีมีรายชื่อเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท ในขณะที่คริสตี้ พี่สาวของเขามีตำแหน่งเป็นประธานบริษัท

หนังเรื่องแรกที่บริษัทรับหน้าที่เป็นผู้ผลิตจริง ๆ คือเรื่อง The Rum Diary ที่ออกฉายในปี 2011 และในปีเดียวกันนั้นบริษัทก็ได้ร่วมผลิตภาพยนตร์เรื่อง Hugo ต่อมาในปี 2012 บริษัทก็ได้ร่วมผลิตภาพยนตร์เรื่อง Dark Shadows อีกด้วย

ในปี 2011 Infinitum Nihil ได้ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมเพลง และในปี 2012 จอห์นนี เดปป์ก็ได้ขยายบริษัทเป็นสำนักพิมพ์อีกด้วย

ผลงานในวงการภาพยนตร์

[แก้]

ภาพยนตร์

[แก้]
ปี เรื่อง บทบาท หมายเหตุ
1984 Nightmare on Elm Street, AA Nightmare on Elm Street เกล็น แลนซ์ ภาพยนตร์เรื่องแรกของจอห์นนี เดปป์
1985 Private Resort แจ็ก มาร์แชล
1986 Slow Burn ดอนนี่ ฟเลซ์เชอร์ ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์
1986 Platoon เลินเนอร์
1990 Cry-Baby เวด "คราย เบบี่" วอล์คเกอร์
1990 Edward Scissorhands เอ็ดเวิร์ดมือกรรไกร
1991 Freddy's Dead: The Final Nightmare ผู้ชายทางโทรทัศน์ ใช้ชื่อใน End Credits ว่า Oprah Noodleman
1993 Benny & Joon แซม
1993 What's Eating Gilbert Grape กิลเบิร์ต เกรป
1993 Arizona Dream แอ็กเซิล แบล็กมาร์
1994 Ed Wood เอ็ดเวิร์ด ดี วู้ด
1995 Don Juan DeMarco ดอนฮวน เดอร์มาโก/จอห์น อาร์ เดอร์มาโก
1995 Dead Man วิลเลียม เบลค
1995 Nick of Time ยีน วัตสัน
1996 Cannes Man จอห์นนี เดปป์
1997 Donnie Brasco ดอนนี บราสโก/โจเซฟ ดี พิสโตน
1997 Brave, TheThe Brave ราฟาเอล
1998 Fear and Loathing in Las Vegas ราอูล ดุ๊ก
1998 L.A. Without a Map จอห์นนี เดปป์ และ วิลเลียม เบลค สองบทบาทในเรื่องเดียว
1999 Ninth Gate, TheThe Ninth Gate ดีน คอร์โซ่
1999 Sleepy Hollow อิกาบอท เครน
1999 Astronaut's Wife, TheThe Astronaut's Wife สเปนเซอร์ อาร์มาคอส
2000 Chocolat ลุคซ์
2000 Before Night Falls ร้อยโทวิกเตอร์ และบงบง สองบทบาทในเรื่องเดียว
2001 Blow จอร์จ จัง
2001 Man Who Cried, TheThe Man Who Cried ซีซาร์
2001 From Hell เฟร็ดเดอริก แอบเบอร์ไลน์
2003 Once Upon a Time in Mexico เจ้าหน้าที่ CIA เชลดอน เจฟฟรี แซนด์และบาทหลวงในโบสถ์ สองบทบาทในเรื่องเดียว
2003 Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl กัปตัน แจ็ก สแปร์โรว์
2004 Happily Ever After คนแปลกหน้าที่นางเอกเจอในร้านขายซีดี
2004 Secret Window มอร์ต เรนี่
2004 Finding Neverland เซอร์เจมส์ แบร์รี่
2004 Libertine, TheThe Libertine จอห์น วิลมอร์ธ เอิร์ลแห่งโรเชสเตอร์ที่ 2
2005 Charlie and the Chocolate Factory วิลลี่ วองก้า
2005 Corpse Bride วิกเตอร์ แวน ดอร์ธ พากย์เสียง
2006 Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest กัปตัน แจ็ก สแปร์โรว์
2007 Pirates of the Caribbean: At World's End กัปตัน แจ็ก สแปร์โรว์
2007 Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street สวีนีย์ ทอดด์/เบนจามิน พาร์คเกอร์
2009 Public Enemies จอห์น ดิลลินเจอร์
2009 Imaginarium of Doctor Parnassus, TheThe Imaginarium of Doctor Parnassus โทนี่ร่างที่ 1 แสดงแทนฮีธ เลดเจอร์ที่เสียชีวิตขณะที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จ
2010 Alice in Wonderland Mad Hatter
2010 Tourist, TheThe Tourist แฟรงค์ ทูเปโล่/อเล็กแซนเดอร์ เพียซ
2011 Rango แรงโก้ พากย์เสียง
2011 Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides กัปตัน แจ็ก สแปร์โรว์
2011 Rum Diary, TheThe Rum Diary พอล เคมป์
2011 Jack and Jill จอห์นนี เดปป์
2012 21 Jump Street ทอม แฮนซัน ไม่มีชื่อใน End Credits
2012 Dark Shadows บาร์นาบัส คอลลินส์
2013 The Lone Ranger ทอนโต้
2013 Lucky Them แมทธิว สมิธ
2014 Transcendence ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ วิล แคสเตอร์
2014 Tusk กาย ลาปวง ใช้ชื่อในเครดิตว่า Guy Lapointe ตามชื่อตัวละคร
2014 London Fields ชิค เพอร์เชส
2014 Into the Woods หมาป่าในหนูน้อยหมวกแดง
2015 Mortdecai ชาร์ลส์ มอค์เดอคาย
2015 Black Mass ไวท์ตี้ บัลเจอร์
2015 Yoga Hosers กาย ลาปวง
2016 Alice Through the Looking Glass Mad Hatter
สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ รับเชิญ
2017 Pirates of the Caribbean : Dead Men Tell No Tales กัปตัน แจ็ก สแปร์โรว์
ฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรส แรตเช็ตต์
2018 สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์

โทรทัศน์

[แก้]
โทรทัศน์
ปี รายการ บทบาท หมายเหตุ
1985 Lady Blue ไลโอเนล วีแลนด์ ตอน "Beasts of Prey"
1986 Slow Burn ดอนนี่ ฟเลซ์เชอร์ ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์
1987–1990 ซีรีส์ 21 Jump Street เจ้าหน้าที่โทมัส "ทอม" แฮนซัน จูเนียร์ บทนำ (ซีซั่น 1–4); 82 ตอน
1987 ซีรีส์ Hotel ร็อบ คาเมร่อน ตอน "Unfinished Business"
1999 ซีรีส์ The Vicar of Dibley จอห์นนี เดปป์ ตอน "Celebrity Party"
2000 ซีรีส์ The Fast Show จอห์นนี เดปป์ ตอน "The Last Ever Fast Show"[5]
2004 King of the Hill โยกิ วิกเตอร์ พากย์เสียงตอน "Hank's Back"
2009 SpongeBob SquarePants แจ็ก คาฮูน่า ลากูน่า/JKL พากย์เสียงตอน "SpongeBob vs. The Big One"
2011 Life's Too Short จอห์นนี เดปป์ ตอน "Episode 2"
2012 Family Guy เอ็ดเวิร์ดมือกรรไกร พากย์เสียงตอน "Lois Comes Out of Her Shell"

ในฐานะโปรดิวเซอร์

[แก้]
โปรดิวเซอร์
ปี เรื่อง หมายเหตุ
2011 The Rum Diary
2011 Hugo
2012 Dark Shadows
2013 The Lone Ranger Executive Producer
2014 LaDonna Harris: Indian 101 Executive Producer
2015 Mortdecai Post - Production

ในฐานะผู้กำกับ

[แก้]
ผู้กำกับ
ปี เรื่อง หมายเหตุ
1993 Stuff หนังสั้น
1997 The Brave
ยังไม่ระบุปีเข้าฉาย สารคดีชีวิตของคีธ ริชาร์ดที่ยังไม่ระบุชื่อ

ในฐานะคนเขียนบท

[แก้]
คนเขียนบท
ปี เรื่อง
1997 The Brave

ภาพยนตร์สารคดี

[แก้]
ภาพยนตร์สารคดี
ปี เรื่อง บทบาท Notes
1999 The Source แจ็ค เคอรูแอค
2000 Lowell Blues จอห์นนี เดปป์
2002 Lost in La Mancha จอห์นนี เดปป์ ไม่มีชื่อในเครดิต
2006 Deep Sea 3D พากย์เสียง พากย์เสียงเท่านั้น
2007 Joe Strummer: The Future Is Unwritten จอห์นนี เดปป์
2007 Runnin' Down a Dream จอห์นนี เดปป์
2008 Gonzo: The Life and Work of Dr. Hunter S. Thompson พากย์เสียง
2010 When You're Strange พากย์เสียง
2011 Pearl Jam Twenty จอห์นนี เดปป์ ไม่มีชื่อในเครดิต
2012 For No Good Reason จอห์นนี เดปป์

เพลงประกอบภาพยนตร์

[แก้]
เพลงประกอบภาพยนตร์
ปี เรื่อง เพลง
2000 Chocolat เล่นกีต้าร์ในเพลง "Minor Swing",
"They're Red Hot",
"Caravan"
2003 Once Upon a Time in Mexico แต่งเพลง "Sands' Theme"
2007 Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street ร้องเพลง "No Place Like London",
"My Friends",
"Pirelli's Miracle Elixir",
"Pretty Women",
"Epiphany",
"A Little Priest",
"Johanna (Act II)",
"By The Sea",
"The Judge's Return",
"Final Scene (Part 1)",
"Final Scene (Part 2)"
2011 The Rum Diary เล่นกีต้าร์และแต่งเพลง "Kemp In The Villagen",
เล่นเปียโนเพลง "The Mermaid Song (Instrumental)"

ผลงานในวงการเพลง

[แก้]

ในฐานะนักดนตรี

[แก้]
นักดนตรี
ปี อัลบั้ม ตำแหน่ง ศิลปินเจ้าของอัลบั้ม หมายเหตุ
1994 The Snake กีต้าร์ในเพลง That Woman's Got Me Drinking Shane MacGowan & the Popes
1994 City Of The Violet Crown คอรัสในเพลง Fidel's Taxi Bill Carter
1995 Help: A Charity Project for the Children Of Bosnia กีต้าร์ในเพลง Fade Away อัลบั้มพิเศษของมูลนิธิ Warchild เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
1995 P กีต้าร์และเบส P จอห์นนี เดปป์เป็นสมาชิกในวง
1996 Be Here Now กีต้าร์สไลด์ในเพลง Fade In-Out Oasis
1999 A Virgin กีต้าร์ในเพลง Hollywood Affair Iggy Pop
2000 Bliss ลีดกีต้าร์ในเพลง Firmaman Vanessa Paradis
2001 Chocolat กีต้าร์ในเพลง "Minor Swing",
"They're Red Hot",
"Caravan"
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Chocolat
2003 Once Upon A Time In Mexico เล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดในเพลง "Sands Theme เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Once Upon A Time In Mexico
2007 Sweeney Todd, The Demon Barber of Fleet Street ร้องเพลง "No Place Like London",
"My Friends",
"Pirelli's Miracle Elixir",
"Pretty Women",
"Epiphany",
"A Little Priest",
"Johanna (Act II)",
"By The Sea",
"The Judge's Return",
"Final Scene (Part 1)",
"Final Scene (Part 2)"
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street
2010 Ex-Maniac กีต้าร์ในเพลง "Unloveable Babybird
2010 ซิงเกิล I Put A Spell On You กีต้าร์ในเพลง "I Put A Spell On You Shane MacGowan & Friends เป็นซิงเกิลที่นำรายได้จไปช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ
2011 Tels Alain Bashung เครื่องดนตรีทั้งหมดในเพลง "Angora อัลบั้มทรีบิวต์แด่ศิลปินฝรั่งเศส Alain Bashung
2011 The Rum Diary: Original Motion Picture Soundtrack เล่นกีต้าร์ในเพลง "Kemp In The Villagen",
เล่นเปียโนเพลง "The Mermaid Song (Instrumental)"
อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Rum Diary
2011 The Pleasures of Self Destruction กีต้าร์ในเพลง "The Jesus Stag Night Club" Babybird
2011 From Gainsbourg To Lulu ร้องเพลงคู่กับ Vanessa Paradis และเล่นเครื่องดนตรีทุกชนิดในเพลง "Ballade de Melody Nelson",
เล่นกลองและกีต้าร์ในเพลง "Sous Le Soleil Exactement"
Lulu Gainsbourg
2012 Born Villain กลองและกีต้าร์ในเพลง "You're So Vain" Marilyn Manson
2012 Banga กลองและกีต้าร์ในอินโทรเพลง "Banga" Patti Smith
2013 West Of Memphis: Voices For Justice ร้องเพลงและตีกลองในเพลง "Little Lion Man: Tonto's Giant Nuts",
เล่นกีต้าร์และกลองในเพลง "You're So Vain",
แลปสตีลในเพลง "Anything Made Of Paper",
อคูสติกกีต้าร์ในเพลง "Wing",
เล่นดนตรีในเพลง "Road To Nowhere"
เพลงประกอบภาพยนตร์สารคดีเรื่อง West Of Memphis: Voices For Justice,
ไม่มีเครดิตในเพลง "Little Lion Man: Tonto's Giant Nuts", "Wing" และ "Road To Nowhere"
2013 Unknown แลปสตีลในเพลง "Anything Made Of Paper" Bill Carter
2013 ซิงเกิล "State Trooper" แลปสตีลและเบสดรัมในเพลง "State Trooper" Bill Carter
2013 Son Of Rogues Gallery: Pirate Ballads, Sea Songs & Chanteys กีต้าร์โซโล่ในเพลง "Leaving Of Liverpool",
กีต้าร์และกลองในเพลง "The Mermaid"
2013 The Manhattan Blues Project กีต้าร์ในเพลง "The Brooklyn Shuffle" Steve Hunter
2013 The Lone Ranger: Wanted เล่นดนตรีในเพลง "Sweet Betsy From Pike" เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Lone Ranger,
ไม่มีเครดิตในเพลง
2013 ซิงเกิล Watching The Sky Turn Blue ปรบมือและ backing vocals ในเพลง "Watching The Sky Turn Blue" Louise Goffin
2014 Red Beans And Weiss เล่นกีต้าร์, กลองและร้อง backing vocals ในเพลง "Boston Blackie",
backing vocals ในเพลง "Bomb The Tracks",
กีต้าร์ในเพลง "Kokomo (Boy Bruce)",
กลองและเบสในเพลง "The Hink-A-Dink", backing vocals ในเพลง "Willy's In The Pee Pee House"
Chuck E. Weiss
2014 Gimme Something Good เล่นกีต้าร์และโซโล่ในเพลง Aching For More Ryan Adams
2014 Ryan Adams เล่นกีต้าร์ในเพลง Kim,
เล่นกีต้าร์และ backing vocals ในเพลง Feels Like Fire
Ryan Adams
2014 Lost On The River: The New Basement Tapes กีต้าร์ในเพลง Kansas City The New Basement Tapes อัลบั้มเพลงประกอบสารคดี he Lost Songs: The Basement Tapes Continued
2014 Afraid Of Ghosts เล่นกีต้าร์ในเพลง 21+ Butch Walker
2014 Joe Perry's Merry Christmas เล่นกีต้าร์ในเพลง Run Run Rudolph Joe Perry EP Joe Perry's Merry Christmas
2014 ร้องเพลง Hello Little Girl เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Into the Woods
2015 ร้องเพลงและเล่นกีต้าร์ในเพลง No Shadows,
เล่นกีต้าร์ในเพลง It's In My Head
Ryan Adams ซิงเกิล No Shadows

ในฐานะนักแต่งเพลง

[แก้]
นักแต่งเพลง
ปี เพลง อัลบั้ม ศิลปินเจ้าของอัลบั้ม หมายเหตุ
1986 Mary Young Man's Blues Shane MacGowan & the Popes
1995 ทุกเพลงในอัลบั้มยกเว้นเพลง I Save Cigarette Butts และเพลง Dancing Queen P P แต่งรวมกับ Bill Carter, Johnny Depp, Gibby Haynes และ Sal Jenco
1999 Hollywood Affair A Virgin Iggy Pop
2000 St. Germain และ Bliss Bliss Vanessa Paradis แต่งทำนองร่วมกับ Vanessa Paradis
2003 Sands Theme อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Once Upon A Time In Mexico
2011 Kemp in the Village อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Rum Diary,
แต่งร่วมกับ Jeffrey J. Poskin
2013 New Year Love Songs Vanessa Paradis แต่งร่วมกับ Vanessa Paradis และ Lily-Rose Melody Depp
2015 No Shadows ซิงเกิล No Shadows Ryan Adams แต่งร่วมกับ Ryan Adams

ในฐานะโปรดิวเซอร์

[แก้]
โปรดิวเซอร์
ปี เพลง อัลบั้ม ศิลปินเจ้าของอัลบั้ม หมายเหตุ
1999 Devil With Blue Suede Shoes Extremely Cool Chuck E. Weiss
1999 Hollywood Affair Avenue B Iggy Pop
2003 Sands Theme Once Upon A Time In Mexico เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Once Upon A Time In Mexico
2006 Rogue's Gallery: Pirate Ballads, Sea Songs & Chanteys Executive Producer ของอัลบั้ม
2006 Gonzo: The Life And Work Of Dr. Hunter S. Thompson - Music From The Film Executive Producer ของอัลบั้ม,
เพลงประกอบภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Gonzo: The Life And Work Of Dr. Hunter S. Thompson
2011 The Rum Diary - Original Motion Picture Soundtrack Executive Producer ของอัลบั้ม,
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Rum Diary ,
ได้รับรางวัลในสาขาสกอร์ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์คอเมดี้จาก International Film Music Critics Association Award
2012 You're So Vain Born Villain Marilyn Manson
2013 Little Lion Man,
และ Damien Echols Death Row Letter Year 16 1/2
West Of Memphis: Voices For Justice ประกอบภาพยนตร์สารคดีเรื่อง West Of Memphis: Voices For Justice
2013 Son Of Rogue's Gallery: Pirate Ballads, Sea Songs & Chanteys Executive Producer ของอัลบั้ม
2013 Sweet Betsy From Pike The Lone Ranger: Wanted อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Lone Ranger
2014 Red Beans And Weiss Chuck E. Weiss Executive Producer ของอัลบั้ม

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Johnny Depp - Box Office".
  2. "What comes next for Johnny Depp and Amber Heard's movie careers after the verdict". Los Angeles Times. June 2022.
  3. "Tom Cruise and Hanks top new power list". World Entertainment News Network. April 10, 2006.
  4. "The Ulmer Scale". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 5, 2010. สืบค้นเมื่อ June 12, 2009.
  5. The Last Ever Fast Show ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส แก้ไขสิ่งนี้ที่วิกิสนเทศ

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]